ออกไปต่อสู้มาในช่วงวันหยุดนักขัตฤกษ์ เพราะสู้คิววันเสาร์อาทิตย์ไม่ไหวจริงๆ สำหรัร้านแฮมเบิร์กเลื่องชื่อ คิววิ่งไปแตะ 200 คิวได้ภายในเวลาไม่ถึง 1 ชั่วโมง นั่นก็คือ Hikiniku To Come Thailand ฮิคินิคุ โตะ โคเมะ ที่เพิ่งมาเปิดสาขาแรกในไทย ที่ชั้น 7 CentralWorld โดยเขามีสาขาที่ประเทศญี่ปุ่น 4 สาขา และอีก 4 สาขาในต่างประเทศ ซึ่งก็นับรวมไทยเข้าไปด้วย หลังจากมีโอกาสลองชิมแล้ว วันนี้เลยอยากหยิบยกรสชาติ มาตรฐานการให้บริการมาฝากกัน
ส่วนกระปุกใหญ่ 2 อันนี้ คือ
ส่วนซอส Hikiniku To Come Signature จะเป็นซอสรสเค็มๆ ที่ผ่านการปรุงรสมา มีความเผ็ดซ่าเบาๆ หอมเครื่องเทศ เนื้อซอสเนียนๆ ส่วนตัวเราว่าไม่ได้ wow มากเท่าไหร่
เมื่อเนื้อใกล้พร้อม พนักงานจะนำของในเซตมาเสิร์ฟด้วย ได้แก่ ข้าวญี่ปุ่น ส่วนตัวเราว่าวันที่เราไปเขาหุงออกเปียกไปหน่อย ส่วนซุปมิโสะกลมกล่อมดี มีแคร์รอต หอมใหญ่ ชิ้นเนื้อ ให้กินเยอะดี
พนักงานจะนำเนื้อย่างจากเตาหลัก มาวางที่เตารองหน้าที่นั่งของเราเรื่อยๆ เพิ่มเริ่มทาน
Hikiniku To Come Thailand ฮิคินิคุ โตะ โคเมะ CentralWorld ชั้น 7 จองคิวยังไง?
สำหรับการจองคิวจะเป็น Walk in เท่านั้น ไม่มีการโทรจองหรือจองออนไลน์ โดยเราจะต้องไป scan QR code ที่หน้าร้าน ระบุจำนวนที่นั่งที่ต้องการจอง แล้วกดรอบเวลาที่ว่าง (ช่วงที่ว่างจะเป็นสีเขียว) จากนั้นเราจะได้หลักฐานการจองมา แนะนำให้แคปภาพเก็บไว้ เมื่อใกล้ถึงเวลาที่เราจองให้มารอก่อนประมาณ 15-20 นาที เพราะอาจได้คิวเร็วกว่าที่จองไว้ได้
ส่วนตัวเราไปหน้าร้านตอนประมาณ 10.30 น. ได้คิวรอบ 14.00 น. เรียกได้ว่าช่วงคิวโหดมากถึงแม้จะเป็นวันหยุดพิเศษก็ตาม ส่วนตัวเราเลยอาศัยกินร้านอื่นรองท้อง เดินห้างเล่น พอเวลาประมาณ 13.45 ก็มานั่งรอที่หน้าร้าน
มาที่หน้าร้านคนแน่นมากๆ มีมุมนั่งรอหน้าร้านประมาณหนึ่ง โดยลักษณะการรันคิวจะไม่ใช่เมื่อถึงคิวแล้วเดินเข้าร้านทันที พนักงานจะเรียกให้เรามาสั่งอาหารที่ตู้คิออสล่วงหน้าประมาณ 15 นาที จากนั้นเราถึงรอคิวเรียกเข้าร้านเพื่อทานจริงๆ คิดว่าทางร้านจะต้องย่างเนื้อรอตามจำนวน order ไปเรื่อยๆ เพราะคอนเซปต์ของทางร้านเขาจะย่างแบบสดใหม่ ชิ้นต่อชิ้น
- เซต แฮมเบิร์ก Hikiniku To Come (เนื้อชิ้นละ 90 กรัม *3 ชิ้น) เสิร์ฟพร้อมข้าวสวยญี่ปุ่นและซุป ราคา 590 บาท/เซต สามารถเพิ่มเนื้อย่างได้โดยมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม
- ซอส Hikiniku To Come Signature 30 บาท
- สลัดมันฝรั่งผสมเนื้อวัวบด 70 บาท
- ซูเปอร์ จิงเจอร์เอล 90 บาท
- น้ำเลมอนโซดา 90 บาท
- คราฟต์เบียร์แสนสุข 225 บาท
- เบียร์คิริน ออริจินัล 140 บาท
- ...
เราสั่งเป็น เซต แฮมเบิร์ก Hikiniku To Come คนละ 1 เซต เพิ่มซอส Hikiniku To Come Signature และสลัดมันบดเข้ามาด้วยเพื่อตัดรสชาติ จ่ายเงินเสร็จแล้วก็นั่งรอเรียกคิวเข้าร้าน
คนแน่นร้านมากๆ เราได้นั่งเคาน์เตอร์ด้านหน้าสุด ร้านเขาจะตกแต่งเป็นสไตล์ Loft แบบเดียวกันกับสาขาแม่ที่ญี่ปุ่น ตัวร้านเป็นแนวลึก มีจุดย่างเนื้อ 2 เตา และเตาสำหรับหุงข้าวตามสไตล์ญี่ปุ่นที่กลางร้าน
อุปกรณ์ที่เตรียมให้ส่วนตัว จะอยู่ที่ลิ้นชักด้านล่าง มีทั้งจาน ตเกียบ ทิชชู่เปียกและแห้ง รวมถึงเกลือ พริกไทยต่างๆ เอาไว้บดเพิ่มรสชาติ นอกจากนี้ที่ข้างๆ กันเขาจะมีที่สำหรับแขวนกระเป๋าให้ด้วย
เครื่องจิ้มมีเยอะมาก โดยเขาใส่รายละเอียดทุกอย่างลงไปในกระดาษรองจาน ไม่ว่าจะเป็นวิธีการทานเนื้อย่าง เครื่องจิ้มต่างๆ เริ่มจากฝั่ง 6 อย่างนี้ประกอบด้วย
- ซอสโชยุหมักธรรมชาติ (Nama Shoyu): ซอสถั่วเหลืองหมักตามธรรมชาติจากจังหวัดอิบารากิ เหมาะสำหรับทานคู่กับหัวไชเท้าขูดหรือไข่ดิบ
- ซอลท์เท็ตเลมอน (Ao to Shio Lemon): เลมอนดองเค็มผสมพริกชี้ฟ้าเขียว ให้รสเปรี้ยวเค็มสดชื่น
- พริกเขียวในน้ำมันมะกอก (Ao to Karashi no Oil Tsuke): พริกเขียวหมักในน้ำมันมะกอก รสเผ็ดเล็กน้อย
- ซินเจียงสไปซ์สูตรโมซัง (Mo San no Mararako): เครื่องเทศผสมพริกหม่าล่า รสเผ็ดชา
- ซอสจ่าวมา (Janma): ซอสที่มีส่วนผสมของซันโช ต้นหอม ขิง และน้ำมันงา รสเผ็ดเบาๆ
- กระเทียมชิปส์ (Ninniku Furikake): กระเทียมทอดกรอบ หอมกรุบกรอบ
เลือกตั้งเครื่องจิ้มได้ตามใจชอบ ส่วนตัวที่เราชอบเลยจะเป็นซินเจียงสไปซ์สูตรโมซัง และกระเทียมชิปส์
- ผักกาดดองในอูเมะวิเนการ์: ผักกาดดองหมักด้วยน้ำส้มสายชูบ๊วย รสเค็มอมเปรี้ยว เอามากินกับเนื้อย่างมันๆ ตัดเลี่ยนได้ดี
- ซอสเต้าเจี้ยวญี่ปุ่น: ซอสเต้าเจี้ยวสูตรพิเศษ เพิ่มความกลมกล่อมให้กับข้าวและแฮมเบิร์ก อันนี้เราว่าติดเค็มมากๆ เป็นเหมือนเต้าเจี้ยวที่เค็มแหลมสุดๆ ใครที่กินเค็มไม่เก่งอาจมีอาการตาหยีแบบเราได้ (ฮา)
ส่วนซอส Hikiniku To Come Signature จะเป็นซอสรสเค็มๆ ที่ผ่านการปรุงรสมา มีความเผ็ดซ่าเบาๆ หอมเครื่องเทศ เนื้อซอสเนียนๆ ส่วนตัวเราว่าไม่ได้ wow มากเท่าไหร่
อันนี้เป็นมัดบดผสมเนื้อ เสิร์ฟมาแบบเย็นๆ มีมันเป็นชิ้นๆ ที่นุ่มดี เส้นพาสต้า แตงกวาญี่ปุ่น และชิ้นเนื้อ รสชาติเขาจะออกมันๆ เค็มเบาๆ กินง่าย
คำแรก แนะนำให้กินแบบเปล่าๆ ไม่ต้องจิ้มอะไรทั้งนั้นเพื่อสัมผัสรสชาติแท้ๆ ของเนื้อแฮมเบิร์ก ตัวเนื้อบดใช้เนื้อ f1 ชิ้นเนื้อขนาดพอดีคำ ไม่ใหญ่เกิน สีเนื้อสวย กลิ่นหอมมากกก ทันทีที่กัดเข้าไปน้ำในเนื้อมีความฉ่ำเบาๆ ส่วนตัวเราว่าเนื้อที่สาขาญี่ปุ่นจะฉ่ำกว่า ส่วนสาขาที่ไทยจะมีมันแทรก เรียกว่าเป็นความฉ่ำจากมันในเนื้อ ถ้าใครเอ็นจอยเนื้อมันๆ จะชอบ แต่เราเป็นคนที่กินเนื้อมันๆ ได้ไม่เก่งมาก เลนรู้สึกว่าจะหนักไปทางมันเสียหน่อย เลยอาศัยใ้ช้เครื่องจิ้มทั้ง 8 ตัว มาเพื่อปรับรส
ชิ้นที่ 2 ร้านแนะนำให้ทานคู่กับหัวไชเท้าขูดและซอสยูซุพอนซึสูตรพิเศษของทางร้าน โดยเขาจะเสิร์ฟไชเท้าขูดมาคนละ 1 จาน และซอสพอนซึ 1 ขวด/ 2 คน ส่วนตัวเราชอบคำนี้ที่สุด เพราะเป็นการผสมผสานระหว่างความเย็น และความเปรี้ยวจาก 2 อย่างนี้ได้อย่างลงตัวตัดเลี่ยนเนื้อ ในขณะเดียวกันก็เสริมความนัวของเนื้อให้โดดเด่นออกมามากขึ้น
คำสุดท้าย พนักงานจะเสิร์ฟไข่ไก่เกรดที่ทานดิบได้ โดยเราสามารถรับประทานกับไข่แดงสด หรือผสมไข่ขาวและไข่แดงกับโชยุหมัก ราดบนข้าวและท็อปด้วยแฮมเบิร์กก็ได้ตามถนัด ส่วนตัวเราทานแบบเอาไข่แดงมาราดบนแฮมเบิร์กและข้าวสวย แอบโรยซินเจียงสไปซ์สูตรโมซัง เพิ่มความเผ็ดเบาๆ อร่อยดีเลยค่ะ แต่คำหลังๆ ต้องสารภาพว่าแอบแบ่งเนื้อไปให้เพื่อนเยอะเหมือนกัน เพราะเนื้อ 3 ชิ้นออกจะเยอะไปหน่อยสำหรับเรา (ฮา)
และนี่ก็เป็นรีวิว Hikiniku To Come Thailand ที่เรามีโอกาสได้ไปลองชิมและอยากหยิบยกความอร่อยมาฝากเพื่อนๆ กัน ใครไปลองชิมมาแล้วชอบไหม? คิดเห็นยังไงบ้าง?