แวะมาพักฮีลใจที่ญี่ปุ่นเสียหน่อย ทริปนี้เราวางแผนการเดินทางในแถบจังหวัดนากาโนะ (Nagano) แลนด์มาร์กสำคัญที่พลาดไปเสียไม่ได้เลยก็คือ Togakushi Shrine ศาลเจ้าชื่อดังของเมืองแห่งนี้ ที่มีความสวยงามหลายอย่างตั้งแต่ประตูทางเข้า ถนนต้นสนซีดาร์ที่มีอายุหลายร้อยปี และการเดินทางไปสักการะศาลเจ้าที่อยู่บนยอดสูงสุดของเส้นทางนี้
ว่าแล้วก็เริ่มออกเดินกันต่อ ทางเข้าศาลเจ้าจะมีร้านอาหารสวยๆ ตั้งอยู่ และมีห้องน้ำชาย-หญิง ไว้บริการ ใครอยากเข้าก็เตรียมตัวให้พร้อม เพราะในศาลเจ้าทีเ่ราเดินเข้าไปจะหาห้องน้ำยากหน่อย ทางเดินเข้าสวยมาก บรรยากาศดีสุดๆ
มาถึงประตูซุยชินมง (Zuishinmon Gate) ซึ่งเป็นประตูไม้สีแดงที่ตั้งอยู่กลางเส้นทางเดินป่าความยาวประมาณ 2 กิโลเมตร ซึ่งนำไปสู่ศาลเจ้าโอคุชะ (Okusha Shrine) ประตูนี้มีหลังคามุงหญ้าและมอสเขียวปกคลุมอย่างหนาแน่น สะท้อนถึงความกลมกลืนระหว่างสถาปัตยกรรมและธรรมชาติ. ภายในประตูมีรูปปั้นเทพผู้พิทักษ์ (Zuijin)
ศาลเจ้าแรกที่เราจะเจอคือ ศาลเจ้าคุซุริวฉะ (Kuzuryusha Shrine) เราสามารถหย่อนเหรียญลงกล่อง พร้อมอธิษฐานขอพรกันได้ ศาลเจ้าแห่งนี้เป็นที่นิยมด้านการขอฝนของเหล่าเกษตรกร รวมถึงการขอพรเรื่องความรักอีกด้วย

ระหว่างทางมีระฆังเอาไว้ตีเพื่อไล่หมีป่า เส้นทางนี้คนที่มาเดินกันจะนิยมแวนกระดิ่งเล็กๆ เพื่อส่งเสียงไล่หมีกันหลายคน ระหว่างทางที่เดินจะได้ยินเสียงกรุ้งกริ้งๆ บ่อยๆ
เดินต่แไปเรื่อยๆ จนสุดทาง เราจะเจอกับ ศาลเจ้าโฮโคฉะ (Hokosha Shrine) ซึ่งเป็นศาลเจ้าชั้นล่างสุดของโซนนี้ ศาลเจ้าแห่งนี้ถูกสร้างมาเพื่อผู้หญิงโดยเฉพาะ เพราะแต่เดิมไม่อนุญาตให้สตรีเพศเดินทางขึ้นไปยังศาลเจ้าชั้นอื่นๆ นั่นเอง งานสถาปัตยกรรม งานแกะสลักไม้ ของศาลเจ้าแห่งนี้คือสวยงาม วิจิตรบรรจงมากๆ
วิธีเดินทางไป Togakushi Shrine นากาโนะ Togakushi Shrine ไปยังไง?
สำหรับวิธีการเดินทางในทริปนี้ เพื่อไปยังศาลเจ้า Togakushi Shrine นากาโนะ เรามาเริ่มต้นกันที่สถานีรถไฟ Nagno Station เลือกประตูทางออก Zenkoji Exit ข้ามถนนใหญ่ไปยังป้ายรถบัสหมายเลข 7 จุดนี้จะมีป้ายรอรถบัส ด้านหลังเป็นจุดจำหน่ายตั๋ว เดี๋ยวนี้ (ปี 2025) สามารถจองที่นั่งออนไลน์มาได้เพื่อความมั่นใจว่าจะได้ที่นั่งแน่นอน โดยเราจองมาทั้งขาไป-กลับ ราคา 2,000 เยน/เที่ยว จองได้ที่เว็บไซต์ https://www.highwaybus.com/gp/inbound/index (หรือจะมาซื้อตอนเดินทางเลยก็ได้ ทั้งนี้ทั้งนั้นถ้าเป็นช่วง High Season แนะนำให้จองออนไลน์มาจะดีที่สุด) การเดินทางจะใช้เวลาประมาณ 50-70 นาที ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับว่าเลือกลงที่ป้ายไหน
ส่วนตัวเรานั่งไปลงที่ ศาลเจ้า Okusha ซึ่งเป็นศาลเจ้าบน บรนยากาศที่เราไปวันนั้นคืออากาศค่อนข้างหนาวอยู่ ถึงแม้ว่าจะเป็นช่วงเดือนพฤษภาคมแล้วก็ตาม จำนวนนักท่องเที่ยวเยอะประมาณหนึ่งแต่ก็ไม่ได้หนาแน่นมากเท่ากับฤดูกาลท่องเที่ยว
![]() |
มีแผ่นพับแจกเป็นระยะๆ หยิบมาดูได้เลย |
ว่าแล้วก็เริ่มออกเดินกันต่อ ทางเข้าศาลเจ้าจะมีร้านอาหารสวยๆ ตั้งอยู่ และมีห้องน้ำชาย-หญิง ไว้บริการ ใครอยากเข้าก็เตรียมตัวให้พร้อม เพราะในศาลเจ้าทีเ่ราเดินเข้าไปจะหาห้องน้ำยากหน่อย ทางเดินเข้าสวยมาก บรรยากาศดีสุดๆ
ระหว่างทางเข้าเราจะเจอร้านอาหารอีกร้านหนึ่ง โดยเมนูดังของแถบนี้จะเป็นโซบะเป็นส่วนใหญ่ ที่หน้าร้านมีร้านไอศกรีมซอฟต์เสิร์ฟ ที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะช่วงเที่ยงๆ คนนั่งเยอะเลยเชียว
เดินต่ออีกนิดเดียวก็ถึงเสาโทเรอิ ทางเข้าหลักของศาลเจ้า
เราชอบบรรยากาศมาก ยิ่งเดินเข้าไปก็ยิ่งสัมผัสได้ถึงความงดงามของธรรมชาติ ทางจะเป็นทางตรงแด่วเข้าไปในป่าลึก แต่ก็ไม่ใช่ทางป่าทีเ่ดินลำบากแต่อย่างใด เป็นเส้นทางเดินที่ถูกเตรียมเอาไว้รองรับนักท่องเที่ยวเป็นอย่างดี สองข้างทางขนาบด้วยมวลพรรณไม้นานาชนิด บางช่วงก็ยังมีน้ำแข็งที่เกาะค้าง ละลายไม่หมดให้ได้ชม
สาวเท้าเข้าไปเรื่อยๆ ทัศนาความงดงามของธรรมชาติ ต้นไม้เริ่มเปลี่ยนมาเป็นตันซีดาร์ขนาดใหญ่มากขึ้นเรื่อยๆ มองเห็นประตูซุยชินมง (Zuishinmon Gate) สีแดง ขนาดใหญ่ อันเป็นเอกลักษณ์โดดเด่นชัดมากขึ้นทุกขณะ
![]() |
ประตูซุยชินมง (Zuishinmon Gate) |
ทันทีที่เราก้าวผ่านประตูซุยชินมง เราก็จะเจอกับเส้นทางต้นสนซีดาร์ อายุหลายร้อยปี เรียงขนาบกันเป็นแนวลึกตามทางเดิน จุดนี้เป็นอีกหนึ่งบริเวณที่นักท่องเที่ยวนิยมมาถ่ายภาพกันเช่นเดียวกัน เสียดายวันที่เราไปฝนลงเม็ดเปาะแปะ ทางเลยเฉอะแฉะ เดินยากขึ้น และแสงไม่ค่อยเอื้อต่อการถ่ายภาพมากนัก
เดินเลาะเลียบสู่เส้นทางที่ชันมากขึ้นเรื่อยๆ ชันเอการจนเหนื่อย หอบ กันเลยทีเดียว ระยะทางรวมๆ แล้วประมาณ 2 km. ใครที่สุขภาพไม่พร้อมอาจต้องหลีกเลี่ยง (หรือไม่ควรเดินไปจนสุดทาง) ส่วนเรื่องรองเท้าก็แนะนำเป็นรองเท้าคู่ที่ทะมัดทะแมง เหมาะกับการเดินทางชันเสียหน่อย
แล้วเราก็เดินทางมาถึงศาลเจ้าด้านบนสุด
ศาลเจ้าแรกที่เราจะเจอคือ ศาลเจ้าคุซุริวฉะ (Kuzuryusha Shrine) เราสามารถหย่อนเหรียญลงกล่อง พร้อมอธิษฐานขอพรกันได้ ศาลเจ้าแห่งนี้เป็นที่นิยมด้านการขอฝนของเหล่าเกษตรกร รวมถึงการขอพรเรื่องความรักอีกด้วย
ส่วนศาลเจ้าที่อยู่บนสุด คือ ศาลเจ้าโอคุฉะ (Okusha Shrine) ศาลเจ้าแห่งนี้มีความสำคัญทั้งในด้านศาสนาและวัฒนธรรม โดยเป็นที่ประดิษฐานของเทพเจ้าอาเมะโนะทาจิคาราโอะ (Ame-no-Tajikarao-no-Mikoto) เทพแห่งพละกำลัง โดยจุดนี้จะมีลานให้เราชมวิวจากยอดเขาได้อีกด้วย
สักการะศาลเจ้าแล้วเราก็ออกเดินทางกลับมายังเส้นทางเดิม ตอนขากลับแดดเริ่มออก วิวก็ยิ่งสวย อากาศก็ยิ่งดีมากขึ้นไปอีก นับว่าเป็นอีกหนึ่งเส้นทางธรรมชาติที่ดีสุดๆ
จากนั้นเราเดินมารอรถบัสที่ป้ายหน้าทางเข้า (ตรงข้ามกับจุดที่เราลงตอนแรก) เพื่อไปยังศาลเจ้ากลาง ใช้เวลาเดินทางไม่เกิน 20 นาทีเท่านั้น จุดสังเกตของศาลเจ้าแห่งนี้คือจะมีต้นไม้ขนาดใหญ่อยู่ตรงทางเข้า โดยเราลองแปลข้อความที่ติดอยู่บริเวณต้นไม้ ได้ความว่าต้นไม้เหล่านี้มีอายุอยู่รวมกว่า 400 ปีเลยทีเดียว
ศาลเจ้าแห่งนี้มีชื่อว่า ศาลเจ้าจูฉะ (Chusha Shrine) ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานของเทพเจ้าอาเมะโนะยะโกะโคะโระโอะโมะอิคาเนะ (Ame-no-Yagokoro-Omoikane-no-Mikoto) เทพแห่งสติปัญญา บรรยากาศสวยงาม พอดีกับเป็นช่วงที่ฝนซา แดดออก เลยได้ภาพท้องฟ้าใสๆ สวยๆ มาด้วย
เดินขึ้นบันไดไปจะเจอกับศาลเจ้า งานสถาปัตยกรรมสวยงามตามแบบฉบับของญี่ปุ่น ฝั่งขวามีน้ำตกเล็กๆ แต่ปิดไม่ให้เข้า ส่วนทางซ้ายของศาลเจ้าจมีจุดจำหน่ายเครื่องรางต่างๆ
เดินเล่นไปมาครึ่งวันก็ต้องเติมท้องให้เต็มเสียหน่อย ด้วยความที่เมืองนี้โด่งดังเรื่องโซบะ ตรงบริเวณศาลเเจ้ากลางจะมีร้านโซบะใหญ่ๆ อยู่ด้วยกัน 2 ร้าน คือ ร้าน Uzuraya และ ร้าน Gokui ร้านแรกจำนวนลูกค้าต่อคิวค่อนข้างเยอะเลยละ เนื่องจากเราจะต้องไปเดินป่ากันต่อเลยเลือกเข้าร้าน Gokui ที่จำนวนคนหน้าร้านน้อยกว่า โดยเราจะต้องลงชื่อที่กระดาษหน้าร้าน จากนั้นยืนรอเรียกคิว ใช้เวลาในรอไม่เกิน 15 นาที
บรรยากาศด้านในร้าน Gokui ตกแต่งด้วยงานไม้เป็นหลัก มีความเป็นสไตล์ญี่ปุ่นโบราณ ใช้แสงไฟส่องสว่างเพิ่มบรรยากาศอันแสนอบอุ่นได้ดี
เราสั่งอาหารมาทั้งหมด 2 เซต เซตแรกเป็น Japanese traditional meal ราคา 1,980 เยน เซตอาหารเป็นสไตล์ญี่ปุ่นแท้ๆ มีเครื่องเคียงอร่อยๆ หลายชนิด มีสาเกรสชาติเข้มข้น ชุดักเทมปุระ ส่วนตัวเส้นโซบะทำมาจากบัควีด (Buckwheat) จะออกไปทางนุ่มๆ เคี้ยวขาดง่าย รสชาติโดยรวมอร่อยดี แต่ไม่ได้ถึงขั้นอร่อยเป็นพิเศษ
อีกเซต สั่งมาเป็น Oroshi Soba ตัวเส้นใช้แบบเดียวกัน ท้อปปอ้งด้านบนด้วยหัวไชเท้าขูด และเทมปุระกุ้ง กินคู่กับซอสเย็นๆ เรียกความสดชื่นได้ดีเลยทีเดียว
เมนูนี้เป็นดังโงะโซบะ เมนูแปลกใหม่น่าสนใจเลยลองสั่งมากชิม ตัวดังโงะจะมีส่วนผสมของแป้งบัควีด ที่เป็นส่วนผสมหลักของแป้งโซบะ สัมผัสนุ่ม หนึบ (แต่ไ่ม่หนึบเท่าดังโงะจากแป้งปกติ) เสิร์ฟมา 2 แบบ แบบที่ราดซอสน้ำตาลหวานๆ เค็มๆ เราชอบแบบนี้มากกว่าเพราะช่วยผลักรสให้อร่อยมากขึ้น ส่วนซอสถั่วแดงจะติดไปทางหวานหน่อย
หมดมื้อนี้จำได้ว่าราคาประมาณ 4 พันเยนนิดๆ ตรงจุดชำระเงินจะมีสินค้าอื่นๆ วางขายด้วย บางอย่างก็จะเป็นอาหารในชุดที่เราทาน ชอบชิ้นไหนก็ซื้อกลับบ้านได้ ปล. ร้านนี้รับชำระเฉพาะเงินสดเท่านั้น
เสร็จแล้ว เราตัดสินใจเดินป่ากันต่อ โดยเส้นทางจะอยู่ฝั่งตรงข้ามกับศาลเจ้าจูฉะ เส้นทางนี้ระยะทางรวมๆ ประมาณ 2-3 km ทางเดินป่าลึก แต่เส้นทางการเดินไม่ลำบาก เป็นทางเรียบๆ เดินง่าย

ระหว่างทางมีระฆังเอาไว้ตีเพื่อไล่หมีป่า เส้นทางนี้คนที่มาเดินกันจะนิยมแวนกระดิ่งเล็กๆ เพื่อส่งเสียงไล่หมีกันหลายคน ระหว่างทางที่เดินจะได้ยินเสียงกรุ้งกริ้งๆ บ่อยๆ
เดินต่แไปเรื่อยๆ จนสุดทาง เราจะเจอกับ ศาลเจ้าโฮโคฉะ (Hokosha Shrine) ซึ่งเป็นศาลเจ้าชั้นล่างสุดของโซนนี้ ศาลเจ้าแห่งนี้ถูกสร้างมาเพื่อผู้หญิงโดยเฉพาะ เพราะแต่เดิมไม่อนุญาตให้สตรีเพศเดินทางขึ้นไปยังศาลเจ้าชั้นอื่นๆ นั่นเอง งานสถาปัตยกรรม งานแกะสลักไม้ ของศาลเจ้าแห่งนี้คือสวยงาม วิจิตรบรรจงมากๆ
เดินรอบๆ ศาลเจ้า ก็ใกล้เวลาต้องเดินทางกลับ โดยเราสามารถเดินทางไปที่ป้ายรถบัสด้านล่างผ่านบันไดหน้าศาลเจ้าได้เลย สำหรับใครที่เลือกลงป้ายรสบัสจากศาลเจ้าชั้นล่างสุด ก็สามารถเดินขึ้นบันไดนี้มายังศาลเจ้าโฮโคฉะ แล้วเดินต่อขึ้นไปเรื่อยๆ เพื่อขึ้นไปยังศาลเจ้าถัดไปได้เช่นเดียวกัน
แอบเก็บภาพซากุระดอกซ้อนสวยๆ มาฝากกัน สำหรับบทความนี้ก็ขอลากันไปก่อน เพื่อนๆ คนไหนที่เคยไปเที่ยวศาลเจ้า Togakushi Shrine กันมาแล้ว รู้สึกประทับใจอย่างไรบ้าง อย่าลืมมาแบ่งปันกันได้เลยนะ